ภาคใต้

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ตะลุย “ทะเลหมอก” ที่ อ.เบตง


 ตะลุย “ทะเลหมอก” บนยอดเขา “ไมโครเวฟ” ที่ อ.เบตง ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน




       ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน นี่คือ คำขวัญของ จ.ยะลา ซึ่ง “เบตง” คือ สุดชายแดนปลายด้ามขวาน เมืองในหุบเขา ที่มีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย เร็วๆ นี้มีการค้นพบ “ทะเลหมอก” บนยอดเขา “ไมโครเวฟ” อีกหนึ่งแห่ง ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด

   อ.เบตง เป็นอำเภอหนึ่งในจำนวน 8 อำเภอของจังหวัดยะลา ซึ่งตั้งอยู่ใต้สุดของประเทศไทย อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร ประมาณ 1,560 กิโลเมตร อยู่ห่างจาก จ.ยะลา ประมาณ 130 กิโลเมตร มีทางหลวงหมายเลข 410 เป็นเส้นทางเชื่อมต่อจาก จ.ยะลา มายัง อ.เบตง



อ.เบตง มีภูมิประเทศเป็นภูเขาอยู่ติดชายแดนประเทศมาเลเซีย เป็นเมืองที่เรียกว่า ฝนแปด แดดสี่ เนื่องจากยังคงมีป่าเขา ต้นไม้ ธรรมชาติอยู่หนาแน่น ยกเว้นในตัวเมืองอำเภอเบตง เท่านั้น
อำเภอเบตง "เมืองในหมอก ดอกไม้งาม ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน" เป็นอำเภอที่ตั้งอยู่ใต้สุดของประเทศไทย และที่สำคัญคือ เป็นแหล่งชมความงามของทะเลหมอกที่ได้ชื่อว่า "สวยที่สุดในภาคใต้"

     อำเภอเบตง ถือเป็นอีกหนึ่งอำเภอในจังหวัดยะลา ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมอยู่จำนวนหลายแห่ง แต่ที่กำลังได้รับความในใจจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมากในขณะนี้ก๋คงเป็น "ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง" หรือ "ทะเลหมอกเขาไมโครเวฟ" สุดยอดทะเลหมอกที่สวยที่สุดในภาคใต้ อยู่ในเขตพื้นที่ของเขาไมโครเวฟ หมรือ ยอดเขากุนุงซิลิปัต ซึ่งเป็นที่ตั้งของเครื่องและเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ของทีโอที อยู่ในเขตตำบลอัยเยอร์เวง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา


ทะเลหมอก บนเทือกเขาอัยเยอร์เวง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ซึ่งขาวโพลนเต็มภูเขา และมีความสวยงามจนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและจากประเทศมาเลเซีย แห่กันไปสัมผัสกับธรรมชาติ ซึ่งขณะบนเทือกเขาอัยเยอร์เวง อากาศหนาวกำลังเย็นสบาย อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 20 องศาเซลเซียส จึงได้พากันถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก

นอกจากนี้ จะมีความสวยงามทางธรรมชาติแล้ว นักท่องเที่ยวต่างพากันตั้งเต็นท์ จัดโต๊ะนั่งกินกาแฟ และอาหารเช้า เพื่อรอดูพระอาทิตย์ขึ้น  ขณะที่เจ้าหน้าที่จิตอาสาของอำเภอเบตง ก็จัดกำลังไปดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวอย่างเข้มงวด

ส่วนที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ก็มีทะเลหมอกสวยงามไม่แพ้กัน  ซึ่งอยู่ที่หินพัด ตำบลท่าขนอน อำเภอคีรีรัฐนิคม มีนักท่องเที่ยวมากางเต็นท์นอนค้างคืน  เพื่อรอชมทะเลหมอก ซึ่งคาดว่าปีใหม่นี้จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมนับหมื่นคน
ขณะที่แหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ทางภาคใต้ โดยเฉพาะที่จังหวัดภูเก็ต  ก็เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ  โดยเฉพาะย่านหาดป่าตอง  หาดกะรน  และหาดกะตะ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลก โรงแรม  รีสอร์ทต่าง ๆ  มีนักท่องเที่ยวเข้าพักอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สถานประกอบการต่างๆ ก็ตกแต่งสถานที่รับเทศกาลปีใหม่  ดึงดูดนักท่องเที่ยว



ส่วนแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลตามเกาะต่างๆ ที่จังหวัดกระบี่  มีนักท่องเที่ยวขึ้นเรือเดินทางไปเที่ยวชมความงามช่วงปีใหม่อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าก่อนหน้านี้ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้มีคำสั่งขึ้นราคาค่าธรรมเนียมขึ้นเกาะก็ตาม แต่นักท่องเที่ยวก็ยอมจ่ายเงิน  แต่ผู้ประกอบการทัวร์ท่องเที่ยวก็ยังคงเรียกร้องให้ลดค่าธรรมเนียมขึ้นเกาะ เพื่อไม่ต้องขึ้นราคาแพ็คเกจทัวร์ตามไปด้วย
 

https://www.google.co.th/search?q=%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%87&noj=1&tbm=isch&tbo=u&source=univ&sa=X&ved=0ahUKEwjh0cT7hZfLAhUQkI4KHQiUBhEQsAQIGg&biw=1366&bih=623#imgrc=gTbaEQPP4b24VM%3A

ท่องเที่ยว แหลมตันหยงโปและหาดทรายยาว



แหลมตันหยงโปและหาดทรายยาว อยู่ทางปากอ่าวสตูล ลักษณะเป็นแหลมที่ยื่นล้ำไปในทะเลอันดามัน มีหาดทรายขาวสะอาดยาวสวยงามและหมู่บ้านชาวประมงอาศัยอยู่ ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยต้นมะพร้าว

    การเดินทาง ไปตามทางหลวงหมายเลข 4051 (เส้นทางไปท่าเรือเจ๊ะบิลัง) ประมาณ 8 กิโลเมตร จะมีทางแยกซ้ายไปยังบ้านตันหยงโปอีกประมาณ 10 กิโลเมตร หรือนั่งเรือจากด่านศุลกากรเกาะนกหรือท่าเรือหลังตลาดสดสตูล ประมาณ 1 ชั่วโมง
การเดินทางสู่แหลมตันหยงโป
การเดินทางสู่แหลมตันหยงโป ออกจากเมืองสตูลใช้ถนนวิเศษมยุรา (ทางหลวงหมายเลข 4051) ขับไปเรื่อยๆ จะมีป้ายบอกทางตลอด ขับไปประมาณ 8 กิโลเมตรครึ่ง จะมีทางเลี้ยวซ้ายเข้าแหลมตันหยงโป ขับไปอีก 10 กิโลเมตร ก็จะถึงถนนรอบแหลม ที่เรียกว่าถนนรอบแหลมก็เพราะถนนสายนี้ตัดเป็นวงกลมรอบแหลมตันหยงโป 1 รอบ ไม่ว่าเราจะเลี้ยวซ้ายหรือขวา ถ้าขับไปเรื่อยๆ ก็จะมาบรรจบที่เดิมได้

 ระหว่างการเดินทางเข้าแหลมตันหยงโปที่มีระยะทางถึง 10 กิโลเมตร จากถนนสายหลัก 2 ข้างทางที่เราขับผ่านมานั้น มันช่างดูเปล่าเปลี่ยว ไม่มีรถตามหลังไม่มีรถอยู่ข้างหน้า รถสวนออกมานับคันได้เลย คิดว่าแหลมแห่งนี้คงจะมีคนมาเที่ยวไม่มากเท่าไหร่ บ้านเรือนผู้คนข้างทางก็ไม่มี มีแต่ป่าหญ้าที่พอจะดูออกว่าเป็นพื้นที่ชายเลน เพราะต้นไม้มันจะไม่เหมือนกับที่เราเห็นบนบก หลายครั้งที่เพื่อนๆ ในรถบอกว่าเราน่าจะกลับรถไปเที่ยวที่อื่นกันดีกว่า แต่สุดท้ายเราก็ขับเข้ามาจนถึงบริเวณปลายแหลม ตรงนี้ก็เริ่มจะมีรถให้เราเห็นแล้ว ค่อยอุ่นใจขึ้นมาหน่อย
advertize
ถนนรอบแหลมตันหยงโป
ถนนรอบแหลมตันหยงโป เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ตอดย้ำว่าที่นี่มีรถมาน้อยมาก ถนนที่ตัดรอบแหลมเป็นถนนลาดยางดูดีมากก็จริง แต่เป็นถนนสายแคบๆ ยากที่จะขับรถสวนกันได้โดยไม่หลบออกนอกเส้นถนน ตามถนนสายนี้ผมเลือกเลี้ยวไปทางซ้าย (ก็รู้อยู่แล้วว่าถนนมันวิ่งได้เป็นวงกลม) แล้วก็ขับไปเรื่อยๆ หลายกิโลเมตรเหมือนกัน พยายามที่จะมองหาหาดทรายที่พอจะถ่ายรูปทะเลได้ แต่ก็ไม่เจอสักที ความโดดเดี่ยวเดียวดายไม่ค่อยมีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไร ก็น่าจะเป็นเหตุให้นักท่องเที่ยวมาเยือนแหลมแห่งนี้ไม่มากนัก ถ้าเทียบกับสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ของสตูล
แหลมตันหยงโปและหาดทรายยาว
 ในที่สุดเราก็มาถึงบริเวณที่เป็นสุดปลายแหลม แผ่นดินสิ้นสุดลงตรงนี้ ริมถนนบริเวณนี้เป็นป่า เห็นรถจอดออกนอกเส้นถนนไปครึ่งคันแต่ยังมองไม่เห็นคน เราก็หาที่จอดมั่งซึ่งก็ต้องจอดคร่อมครึ่งคันเหมือนกันเพราะถนนแคบ แล้วเราก็เดินลงไปตรงช่องที่คนเดินขึ้นลงกันบ่อยจนเป็นรอยทาง แล้วก็เห็นเจ้าของรถนั่งพักผ่อนกินข้าวกับครอบครัว เบื้องหน้าเป็นหาดทรายยาวไปทางซ้ายและขวา น่าจะเกือบ 1 กิโลเมตร พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคนถึงมาเที่ยวกันน้อยนัก ขนาดที่จอดรถยังไม่มีเลย ที่นี่บรรยากาศก็เลยเงียบสงบ มีต้นไม้ใหญ่อยู่หลายต้นบนชายหาด สามารถเลือกได้ว่าจะนั่งตรงไหน หาดนี้ดูสวยแต่คงลงเล่นน้ำไม่ได้ เพราะเต็มไปด้วยหินโสโครก
แหลมตันหยงโปและหาดทรายยาว
 
แหลมตันหยงโปและหาดทรายยาว
 
แหลมตันหยงโปและหาดทรายยาว
 
เพรียง
เพรียง อีกสิ่งหนึ่งที่เราจะเห็นบนหินชายหาด ก็คือเปลือกหอยจำนวนมหาศาลเกาะแน่นอยู่แบบนี้
ร้านอาหารริมหาด
ร้านอาหารริมหาด หลังจากที่ลงไปเดินเล่นริมหาดตรงปลายแหลมตันหยงโป (ถ้าตูจากแผนที่ในกูเกิล มันจะเป็นส่วนที่แหลมที่สุดของแผ่นดินที่ยื่นเข้าไปในทะเล) เราขับรถไปตามถนนโดยไม่กลับรถแต่ขับตรงไปเรื่อยๆ ในที่สุดเราก็มาถึงร้านอาหารร้านนี้เป็นร้านที่น่าจะใหญ่ที่สุดของที่นี่ และก็มีลานจอดรถ สร้างซุ้มกระท่อมริมหาด หาดทรายหน้าร้านลงเล่นน้ำได้ แน่นอนว่านักท่องเที่ยวที่มาแหลมตันหยงโปก็คงมีจำนวนไม่น้อยที่เป็นลูกค้าของร้านนี้ เพราะที่นี่ไม่ได้มีร้านอาหารมากมาย ไม่มีที่พักหรูๆ แม้แต่บ้านเรือนผู้คนก็มีไม่มากนัก ต่อจากร้านอาหาร ตรงไปตามถนนจะวกกลับไปยังทางที่เราเข้ามา แต่ก็มีแยกเล็กๆ เข้าไปในหมู่บ้านที่เรียกว่าบ้านหาดยาว ตรงนั้นก็เป็นแหล่งชุมชน มีหาดทรายทอดยาว เรียกว่าหาดยาว
แหลมตันหยงโปและหาดทรายยาว
 
แหลมตันหยงโปและหาดทรายยาว
 
ริมหาดกาแฟสด
ริมหาดกาแฟสด สุดท้ายของการเที่ยวแหลมตันหยงโป ก่อนที่จะกลับออกจากแหลม เจอร้านกาแฟเล็กๆ รอบๆ ไม่มีบ้านคนเลยด้านหลังของร้านกาแฟเป็นหาดทราย ร้านที่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นท่ามกลางต้นมะพร้าวสูงชะลูด ชวนแวะหลบแดดร้อนๆ ของตอนกลางวัน ได้กาแฟสักแก้วแล้วจะได้เดินทางต่ออย่างสดชื่น
สวนยางพารา
สวนยางพารา ท้ายสุดการเดินทางออกจากแหลมตันหยงโป เราไม่อยากกลับเข้าไปในเมืองสตูล เพราะตอนนี้เราต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ ก็ว่าจะพักแถวๆ ชุมพรก่อน เราก็เลยใช้เส้นทางสายเล็กๆ เข้าไปในสวนยางพาราหาเส้นทางไปทะลุกับถนนสายใหญ่ด้วยเครื่อง GPS กับ Google maps ก็เป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดนัก เพราะเราก็ได้เห็นบรรยากาศของสวนยางที่ไม่เคยเห็น ต้นยางเรียงรายเป็นแถวหลายแถว ใบเขียวขจี มียอดโน้มเข้าหากัน แล้วก็มีถนนสายเล็กๆ ของเราอยู่ตรงกลาง ทุกคนก็ลงความเห็นตรงกันว่าให้จอดรถแล้วลงไปถ่ายรูปกันก่อนที่จะไปต่อ นี่แหละความสุขเล็กๆ ของการเดินทางไกล แล้วพบกันใหม่นะ
สตูล...

cr.http://www.touronthai.com/%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7-75000020.html
แหลมตันหยงโปและหาดทรายยาว

หลบร้อน ผ่อนคลายที่ ล่องแก่ง, เงาะป่าซาไก, น้ำตกวังสายทอง จ.สะตูล





หลบร้อน  ผ่อนคลายที่ รื่นรมชมธรรมชาติ เที่ยวชมถ้ำภูผาเพชรธรรมชาติ แห่งใหม่ในสตูล สนุก..ล่องแก่งวังสายธาร-คลองลำโลน แม่น้ำสายหลักของป่าต้นน้ำปากบารา เล่นน้ำตกวังสายทอง ซึ่งไหลผ่านช่องหิน เป็นน้ำตกหินปูนสีทอง หนึ่งเดียวในจังหวัดสตูล
เดินทางมุ่งหน้าสู่อำเภอมะนัง จังหวัดสตูล เดินทางไปชมถ้ำภูผาเพชรชมความสวยงามของถ้ำ ในถ้ำแห่งนี้ประกอบไปด้วย ถ้ำน้อยใหญ่กว่า 20  ห้อง ลักษณะของแต่ละห้องจะแตกต่างกันไปเป็นถ้ำหินที่มีขนาดใหญ่ ประกอบด้วยชั้นหินแวววาว เนื้อที่ภายในถ้ำ 50 ไร่ ทางขึ้นเป็นบันใด 335 ขั้นโดยประมาณ ใช่เวลาในการเที่ยวชมนานกว่า 2 ชั่วโมง


เดินทางสู่วังสายทองชมน้ำตกหินปูนสีทอง หนึ่งเดียวในจังหวัดสตูล

รับประทานอาหารเที่ยง กับข้าว 3 อย่าง รายการอาหารมี แกงเขียวหวานไก่ แกงจืดเต้าหู้อ่อนกุ้งสับ ยำสามกรอบ น้ำพริก ผักสด

ล่องแก่งวังสายธาร คลองลำโลน สายน้ำหลักของป่าต้นน้ำปากบารา น้ำใส หินสาย ธรรมชาติสมบูรณ์ สองฝั่งคลองตลอดเส้นทางของการล่องแก่งสายน้ำที่ใส่และเย็นฉ่ำ ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร ผ่านแก่งต่าง ๆ ประมาณ 16 แก่ง ตลอดการล่องแก่ง จะมีสตาฟดูแลความปลอดภัยของท่านเป็นอย่างดี

สิ่งที่ท่านจะได้รับบริการจากทางสถานที่ท่องเที่ยว


ชุดอุปกร ล่องแก่ง เรือคะยัค ค่าทำเนียมต่างๆ มัคคุเทศก์นำเที่ยว สตาฟดูแลความปลอดภัย




 หลบร้อน ผ่อนคลาย ที่วังสายทอง รื่นรมชมธรรมชาติ เที่ยวชมถ้ำภูผาเพชร ที่เป็นธรรมชาติแห่งใหม่ในสตูล สนุก..ล่องแก่งวังสายธาร-คลองลำโลน แม่น้ำสายหลักของป่าต้นน้ำปากบารา เล่นน้ำตกวังสายทองซึ่งไหลผ่านช่องหิน เป็นน้ำตกหินปูนสีทองหนึ่งเดียวในจังหวัดสตูล พัก 1 คืน กับบรรยากาศยามค่ำคืน ที่นี่ วังสายทอง



https://www.google.co.th/search?q=%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87
%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%
B8%B9%E0%B8%A5+%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%96%E0%
B9%89%E0%B8%B3&espv=2&biw=1366&bih=623&tbm=isch&tbo=u&source=univ&sa=
X&ved=0ahUKEwj_s67M_5bLAhXHkI4KHRfgCwIQsAQIIA&dpr=1


เที่ยวเกาะหลีเป๊ะ 3 วัน 2 คืน ดำน้ำโซนใน – โซนนอก

ถ้าจัดอันดับ 1-3 ทะเลไทยที่สวยงาม ใน 3 อันดับนี้ต้องมี เกาะหลีเป๊ะ อย่างแน่นอน เกาะหลีเป๊ะเป็นเกาะที่มีน้ำทะเลใส ทรายขาว และเป็นแหล่งดำน้ำที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย มีความหลากหลายของโลกใต้น้ำไม่ว่าจะเป็นปะการัง ปลาทะเล หรือดอกไม้ทะเล ด้วยความสวยงามของเกาะหลีเป๊ะจึงมีคนขนานนามเกาะหลีเป๊ะว่าเป็นมัลดีฟประเทศไทย และ ททท ได้ยกให้เกาะหลีเป๊ะเป็นเกาะสุดโรแมนติค 1 ใน Dream Destination ของประเทศไทยที่ควรไปซักครั้งนึงในชีวิต
ข้อมูลเกาะหลีเป๊ะ
เกาะหลีเป๊ะเป็นเกาะใน จ.สตูล ทะเลฝั่งอันดามัน อยู่ใกล้กับน่านน้ำประเทศมาเลเซีย และไม่ไกลจากเกาะลังกาวีของมาเลเซีย บนเกาะมีพื้นที่ประมาณ 3 ตารางกิโลเมตร รูปร่างของเกาะคล้ายกับบูมเมอร์แรง ที่มาของชื่อ “หลีเป๊ะ” มาจากภาษาชาวเลอุรักลาโว้ย แปลว่า กระดาน หรือ แบนราบ เนื่องจากภูมิประเทศของเกาะหลีเป๊ะเป็นที่ราบ ไม่มีภูเขา บนเกาะหลีเป๊ะมีหาดใหญ่ๆ อยู่ 3 หาด ได้แก่หาดพัทยา หาดซันไรส์ และ หาดซันเซต มีน้ำทะเลที่ใสมาก ทรายขาวละเอียด มีแนวปะการังรอบเกาะหลีเป๊ะ
นั่งเครื่องบินมาเที่ยวหลีเป๊ะ
การเดินทางมาเกาะหลีเป๊ะนั้น สามารถนั่งเครื่องบินมาลงได้ที่สนามบินหาดใหญ่ และ สนามบินตรัง จากนั้นก็ต่อรถตู้ไปลงที่ท่าเรือปากบารา สำหรับสนามบินที่สะดวกในการเดินทางจะเป็นสนามบินหาดใหญ่ เนื่องจากมีเที่ยวบินเยอะ เวลาดี สะดวกในการนั่งรถ ต่อเรือ รถตู้ก็มีเยอะ ส่วนสนามบินตรังนั้นจริงๆ แล้วระยะทางไปท่าเรือปากบาราใกล้กว่าสนามบินหาดใหญ่เสียอีก แต่ไม่ได้รับความนิยม เพราะเที่ยวบินมีน้อย รถตู้ก็มีน้อยไปด้วย และมีความเสี่ยงที่จะไปไม่ทันเรือรอบ 11.30 น. เพราะรถตู้ต้องไปรับคนหลายที่
ไปหลีเป๊ะช่วงไหนดี
จริงๆ แล้วเกาะหลีเป๊ะสามารถเดินทางไปได้ทั้งปี เพราะไม่ได้อยู่ในเขตอุทยานฯ ที่มีช่วงเวลาปิดเกาะ แต่ถ้าอยากเห็นหลีเป๊ะในตอนที่สวยที่สุด จะเป็นเดือนธันวาคม – มีนาคม จะเป็นช่วงที่ฟ้าสด น้ำทะเลใส ไม่มีฝน ส่วนเดือนเมษายน เริ่มมีโอกาสจะเจอฝนตก ฟ้าหลัว และเดือนที่เหลือจะเป็นช่วงมรสุม คนไม่ค่อยมาเที่ยว ค่าที่พักจะถูก ต้องวัดดวงเอา บางคนมาเที่ยวช่วงนี้ก็เจอฝนไม่กี่วัน บางคนก็เจอทุกวัน
วางแผนการเดินทาง
เรือหางยาวจะมีวิ่งไป 3 หาด หาดพัทยา, หาดซันไรส์, หาดซันเซท ต้องไปถามเค้าดูครับว่าเรือลำนี้เรือไปหาดอะไร
เรือ 1 ลำจะบรรทุกคนประมาณ 10 คน ที่พักของผมอยู่หาดซันไรส์ เรือใช้เวลาวิ่งประมาณ 10 นาทีก็มาจอดที่ซานอม ซันไรส์รีสอร์ท จากนั้นก็เดินต่อกันเอง
ซานอม ซันไรส์รีสอร์ท
วาปีรีสอร์ท (Wapi resort) ที่พักของเราจะอยู่เลยขึ้นไปอีกประมาณ 5 นาทีด้วยการเดิน
ระหว่างทางผ่าน Castaway Resort รีสอร์ทนี้จะเป็นบ้านไม้แบบดิบๆ อยู่ติดทะเลเลย ฝรั่งชอบแนวนี้กันครับ
หาดทรายขาวราวกับผงคอฟฟี่เมท น้ำทะเลก็ใสมาก เห็นแล้วอยากจะลงเล่นน้ำเลย ระหว่างทางเห็นฝรั่งนอนอาบแดด เล่นน้ำเยอะมาก ส่วนคนไทยไม่ค่อยมี หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเรามาวันธรรมดา
ภารกิจแรกของทริปเกาะหลีเป๊ะคือการเดินสำรวจ 3 ชาดหาดครับ เริ่มต้นด้วย หาดซันไรส์ที่อยู่หน้าที่พัก
หาดซันไรส์ หรือ หาดชาวเล เป็นชายหาดที่สวยที่สุดบนเกาะหลีเป๊ะ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะ น้ำทะเลใส, ทรายขาว มีแนวต้นสนให้ร่มเงาตลอดหาด เหมาะกับการเล่นน้ำ อีกทั้งหาดนี้ไม่ค่อยมีเรือวิ่งเข้าออกเหมือนหาดพัทยา บรรยากาศค่อนข้างสงบ นักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมนอนอาบแดดที่ริมหาด มีรีสอร์ทและร้านอาหารติดริมหาดซันไรส์หลายแห่ง หากต้องการจะไปยังถนนคนเดิน เกาะหลีเป๊ะ ก็เดินจากหาดซันไรส์ไปไม่ไกล ในตอนเช้าจะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้ที่หาดนี้
หาดซันไรส์จะถ่ายรูปสวยในเวลาหลังเที่ยงไปแล้ว เพราะจะไม่ย้อนแสง น้ำทะเลที่นี่ใสมากๆ

ท่องเที่ยวแหลมสมิหลา จ.สงขลา

หาดสมิหลา สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่มีชื่อเสียงของสงขลา อยู่ในเขตเทศบาลเมือง หาดสมิหลามีโขดหินขนาดย่อมยื่นลงทะเล หาดทรายขาวละเอียดมากที่เรียกว่า "ทรายแก้ว" มีป่าสนร่มรื่น จากหาดสมิหลาสามารถมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของ เกาะหนูเกาะแมว จนมีคำกล่าวว่าใครมาเยือนสงขลาแล้วไม่มาเยือนสมิหลาก็เหมือนมาไม่ถึงสงขลา มีสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงรูปปั้น นางเงือกทอง โดยรอบบริเวณได้จัดสวนหย่อมไว้ดูร่มรื่นเหมาะเป็นที่นั่งพักผ่อนยามเย็น เมี่อมองออกไปในทะเลจะเห็น เกาะหนู เกาะแมวอันเป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่ง หาดสมิหลาเป็นชายหาดที่มีบรรยากาศสงบ เหมาะสำหรับมาพักผ่อนชมวิว มีชายหาดต่อเนื่อง กัน เรียกว่าแหลมสนอ่อน อยู่เลยหาดสมิหลาไปทางตะวันตก ช่วงของแหลมสนอ่อนจะยาวไปจนถึงสันเขื่อนในทะเล


หาดสมิหลา สามารถสัญจรไปมาได้สะดวก ทั้งรถส่วนตัวและรถโดยสารขนาดเล็ก ตั้งอยู่ไม่ห่างไกลจากอำเภอหาดใหญ่มากนัก (ประมาณ 30 กิโลเมตร) มีโรงแรมที่พักตั้งอยู่ที่บริเวณแหลมสมิหลา และบริเวณใกล้เคียงมากมาย มีร้านจำหน่ายอาหารเครื่องดื่ม และของที่ระลึก  มีกิจกรรมทางน้ำมากมาย บานาน่าโบ๊ต เจ็ตสกี แล่นเรือใบนอกจากนี้ยังสามารถลง เล่นน้ำทะเลได้สะดวกเพราะ เป็นชายหาดที่ไม่ลาดชัน และจะมียามรักษาการณ์จากเทศบาลเมืองสงขลาคอยดูแลรักษาความปลอดภัย

นิยายนางเงือกทอง
นางเงือกทอง เป็นเรื่องในนิยายปรัมปราของไทยโบราณ ซึ่งขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธ์) เป็นผู้เล่าไว้ ในวันดีคืนดี นางเงือกจะมานั่งหวีผมบนชายหาดด้วยหวีทองคำ กระทั่งวันหนึ่ง มีชายชาวประมงเดินผ่านมาทำให้นางเงือกตกใจ รีบหนี ลงทะเล ไปโดยลืมหวีทองคำไว้ ชาวประมงเห็นดังนั้น ก็เก็บหวีทองคำไว้และเฝ้าคอยนางเงือกที่หาดนั้นเสมอ แต่นางเงือกก็ไม่เคยปรากฏ กายให้เห็นอีกเลย สำหรับ “นางเงือกทอง” ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2509 ในท่านั่งหวีผม หล่อขึ้นด้วยบรอนซ์รมดำ โดยฝีมือการออก แบบ ปั้น และหล่อ โดยอาจารย์จิตร บัวบุศย์ ด้วยเงิน 60,000 บาท(ในสมัยนั้น) โดยใช้เงินจากงบประมาณของเทศบาลสงขลา


ตำนานเกาะหนู เกาะแมว
มีพ่อค้าชาวจีนผู้หนึ่งคุมเรือสำเภาเดินทางมาค้าขายระหว่างจีนกับสงขลาเป็นประจำ วันหนึ่งพ่อค้าผู้นี้ได้ซื้อหมากับแมว ลงเรือไป เมืองจีนด้วย หมากับแมวอยู่บนเรือนานๆเกิดความเบื่อหน่ายจึงปรึกษาหาวิธีการที่จะกลับบ้าน หมากับแมวได้ทราบว่าพ่อค้ามีดวงแก้ว วิเศษที่ ทำให้ไม่จมน้ำ แมวจึงคิดอุบายโดยให้หนูไปขโมยแก้ววิเศษของพ่อค้ามา และหนูขอหนีขึ้นฝั่งไปด้วย ทั้งสามว่ายน้ำหนีลง จากเรือโดยที่หนูอมดวงแก้วเอาไว้ในปาก ขณะนั้นหนูนึกขึ้นได้ว่าถ้าถึงฝั่ง หมากับแมวคงจะแย่งเอาดวงแก้วไปจึงคิดที่จะหนี ฝ่ายแมวซึ่งว่ายตามหลังมาก็คิดเช่นกัน จึงว่ายน้ำรี่ไปหาหนู หนูตกใจว่ายน้ำหนีไม่ทันระวังตัว ดวงแก้ววิเศษที่อมไว้จึงตกลงจม หายไปในน้ำ หนูและแมวต่างก็หมดแรงจมน้ำตายกลายเป็นเกาะหนูเกาะแมวอยู่ที่อ่าวหน้าเมือง ส่วนหมาตะเกียกตะกายว่ายน้ำไป จนถึงฝั่งและสิ้นใจตายด้วยความเหน็ดเหนื่อยกลายเป็นหินบริเวณเขาตังกวนอยู่ริมอ่าวสงขลา ดวงแก้ววิเศษที่หล่นจากปากหนูแตก ละเอียดกลายเป็นหาดทรายแก้วอยู่ทางด้านเหนือของแหลมสน


cr.http://thai.tourismthailand.org/%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7/%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2--1168

ท่องเที่ยวเกาะยอ


เกาะยอ เป็นเกาะเล็ก ๆ ในทะเลสาบสงขลา เดินทางโดยข้ามสะพานติณสูลานนท์ ไปตามเส้นทาง จากตัวเมืองใช้ทางหลวงหมายเลข 407 และเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวง 4083 ทางไปอำเภอสิงหนคร เกาะยอมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 9,275 ไร่ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นไหล่เขาและที่ราบตามเชิงเขา เหมาะแก่การเกษตรกรรม บนเกาะยอมีการทำสวนผลไม้แบบสุมรุม หมายถึงผลไม้จะผลัดกันให้ผลผลิตตลอดปี เช่น ส้มโอ มะพร้าว ขนุน ผลไม้ที่มีชื่อของเกาะยอคือ จำปาดะ ลักษณะคล้ายขนุนแต่ลูกเล็กกว่า สามารถนำไปทอดเหมือนกล้วยแขก หรือจะกินสดก็ได้ และผ้าทอเกาะยอ เป็นผ้าพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมจากผู้นิยมสวมใส่ผ้าไทย มีลายที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น ลายราชวัตถ์ ดอกพิกุล ดอกพะยอม เนื้อผ้าดูแลรักษาง่าย นอกจากนั้นเกาะยอยังเป็นแหล่งเลี้ยงปลากะพงขาวในกระชังในทะเลสาบสงขลาอีกด้วย 



    สิ่งที่เชิดหน้าชูตาเกาะยอมากอีกอย่างก็คือ สถาบันทักษิณคดีศึกษา ซึ่งได้รวบรวมและจัดแสดงศิลปวัตถุและโบราณวัตถุ รวมทั้งวิถีชีวิตของชาวใต้ไว้เป็นหมวดหมู่ ทั้งหมดอยู่ภายใน พิพิธภัณฑ์คติชนวิทยา สถาบันทักษิณฯ ยังมีหอชมวิวไว้ให้ชมทิวทัศน์สวยๆ ของเกาะยอและทะเลสาบสงขลา แล้วยังมีที่พักไว้บริการอีกด้วย
บรรยากาศรอบเกาะยอ  หลังจากชมวิวบนจุดสูงๆ กันแล้วลงจากสถาบันทักษินคดีศึกษากลับรถใต้สะพานติณสูลานนท์ กลับมาถึงทางแยกร้านผ้าทางเข้าหมู่บ้าน ตอนนี้เราจะไปหาที่พักกันสำหรับคืนนี้ มาเที่ยวเกาะยอแนะนำให้พักบนเกาะยอ ซึ่งส่วนมากจะมีโฮมสเตย์ให้บริการกันเยอะ จำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน บนเกาะยอนี้มีโฮมสเตย์อยู่เจ้าเดียวตอนนี้มีไม่ต่ำกว่า 20 แห่ง พอมาถามชาวบ้านว่า เกาะยอโฮมสเตย์ไปทางไหน ชาวบ้านถามกลับว่าจะไปหลังไหนละมีตั้งหลายหลัง พอบอกชื่อลุงเดชา ไปเค้าก็บอกไม่รู้ ต้องบอกหมู่มาว่าเป็นโฮมสเตย์หมู่ไหน โอ้โห มีมากขนาดนี้เลยเหรอนี่ หมู่ 3 ก็มี หมู่ 8 ก็มี เลยต้องโทรถามทางกับลุงเดชาเจ้าของบ้านแล้วขับไปเรื่อยๆ ถนนสายบนเกาะยอ จะมีหลายช่วงที่เลียบกับทะเล ทำให้เราได้เห็นวิวสวยๆ ซึ่งชาวบ้านหลายหลังคาเรือนประกอบอาชีพเลี้ยงปลากระชัง และวางไซดักกุ้ง ระหว่างทางจะมีศาลาเป็นจุดชมวิวอยู่เป็นระยะ แสงอาทิตย์สาดส่องลอดลงมาเป็นลำต้อนรับเราในวันนี้ จอดถ่ายรูปสักนิดก่อนเดินทางกันต่อไป
เกาะยอโฮมสเตย์ (ลุงเดชา)

http://www.touronthai.com/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%AD-74000016.html